ปฏิทิน

25540417

บทความเชิงวิชาการ 'ผลไม้ในรถเข็น' สังเกตก่อนซื้อปลอดภัยสารปนเปื้อน

25540417
การ กินผลไม้เป็นเรื่องที่ดีและน่าส่งเสริม แต่ต้องดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างจากแหล่งที่ซื้อผลไม้เหล่านั้นด้วยถึงจะได้รับคุณค่าจากผลไม้อย่างแท้ จริง!?  

ผลไม้รถเข็น 
หลังจากเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยสยาม ได้เก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็นจากแหล่งจำหน่าย 38 แหล่ง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อทดสอบการปนเปื้อนในอาหาร (Test Kit) ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 4 รายการ ได้แก่ ชุดทดสอบหายาฆ่าแมลงในอาหาร ชุดทดสอบกรดซาลิซิลิคในอาหาร (สารกันรา) ชุดทดสอบสีสังเคราะห์ในอาหาร และชุดทดสอบโคลิฟอร์มในอาหาร (เชื้อจุลินทรีย์) ปรากฏว่าพบผลไม้ 153 ตัวอย่าง มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียโคลิฟอร์มเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึงร้อยละ 67.3 โดยพบการปนเปื้อนของสีสังเคราะห์ ในตัวอย่างผลไม้ 161 ตัวอย่าง ถึง  16.2 เปอร์เซ็นต์ และพบการปนเปื้อนของสารกันราหรือซาลิซิลิค ร้อยละ 40.7 ส่วนผลไม้แปรรูปจำพวกของดองพบการปนเปื้อนหรือเจือปนของสารเคมีที่อาจเป็น อันตรายถึงของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายถึงร้อยละ 64.2 ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียวเข้มและสีแดงเข้มจนม่วง แบ่งเป็นการปนเปื้อนของสีสังเคราะห์ ร้อยละ 32.1 และปน เปื้อนสารกันรา ร้อยละ 32.1 แต่ ไม่พบการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงในผลไม้สด
       อ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้ จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกรมอนามัย ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคผลไม้ในรถเข็นว่า เกี่ยวกับการบริโภคผลไม้ในรถเข็นว่า ทุกวันนี้การบริโภคผลไม้ของคนไทยมีแนวโน้มลดลง เนื่องมาจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกระแสการบริโภคผลไม้ ความชอบส่วนบุคคล ผลไม้มีราคาสูง รวมทั้งผลไม้พื้นบ้านที่จะไปหาเก็บกินตามรั้วบ้านก็มีน้อยลง เมื่อไม่มีตามธรรมชาติก็ต้อง ซื้อกิน"ซื้อตามร้านค้าที่ตลาด และหนึ่งในนั้นก็คือ รถเข็น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงการบริโภคผลไม้ แต่การขายของรถเข็นก็เหมือนกับตลาด ร้านค้าที่บางครั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งทำให้ผู้ขายบางรายไม่คำนึงถึงผู้บริโภคจึงเกิดปัญหาตามมา การขายผลไม้ในรถเข็นหลักๆ มีอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน รูปแบบแรกมีลักษณะเป็นพ่อค้าคนกลาง ที่เป็นเจ้าของรถเข็นผลไม้หลายคัน โดยไปซื้อผลไม้จากที่ใดก็แล้วแต่ นำมาล้างจัดเรียงใส่รถเข็นเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะไปขาย แล้วก็มีคนหรือลูกจ้างมารับเพื่อนำไปขาย โดยกระจายไปทั่วในพื้นที่ต่างๆ บริเวณใกล้เคียงหรือในแหล่งชุมชน ส่วนอีกรูปแบบจะเป็นรถเข็นของตัวเอง ไม่ได้ไปรับจากใคร ซื้อผลไม้เองนำมาทำเองและขายด้วยตัวเอง ซึ่งทั้ง 2 ช่องทางนี้ ถ้าไม่ได้มีการควบคุมอย่างใกล้ชิดและไม่มีการดูแล หรือไม่มีการอบรมผู้ประกอบการแล้วนั้น โอกาสที่ผู้บริโภคจะเสี่ยงต่อการได้รับสารปนเปื้อนจากผลไม้ และได้รับผลไม้ที่ไม่ถูกสุขลักษณะย่อมมีสูง ในปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคผลไม้จากรถเข็นมีความเสี่ยงอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ที่ปนเปื้อนจากสารจุลินทรีย์เชื้อโรคต่างๆ ที่เกิดจากการที่แม่ค้า พ่อค้า ที่ไม่เตรียมผลไม้ อุปกรณ์ต่างๆ ให้สะอาดพอ หรือไม่ให้ความสำคัญจึงทำให้มีเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนมาในผลไม้ได้





รวมทั้งสารเคมีต่างๆ ที่ผู้ขายนำมาใช้เพื่อให้ผลไม้มีคุณลักษณะที่น่ากิน ตรงนี้เมื่อตรวจจะพบบ่อยครั้งซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้รับสารเหล่านี้ สะสมอยู่ในร่างกาย ที่สามารถนำไปสู่โรคมะเร็งหรือโรคอื่นๆ ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวก สารกันบูดฟอร์มาลิน อาจจะไม่ค่อยพบมากนักแต่ก็อาจมี บางรายใส่เข้าไปเพื่อให้ผลไม้แลดูสดตลอดเวลาน่าทาน ยังมีสีผสมอาหารโดยสีประเภทนี้ไม่ใช่สีจากธรรมชาติไม่ใช่สีจากผลไม้ ซึ่งผู้บริโภคก็ไม่สามารถแยกได้ว่าสีที่ใช้นั้นเป็นสีอะไร เป็นสีของผลไม้จริงๆหรือสีผสมอาหารที่ใช้ไม่ได้หรือสีย้อมผ้า จึงต้องระมัดระวังในส่วนนี้ด้วย รวมไปถึงสารผงกรอบหรือสารบอแรกซ์เพื่อจะให้เกิดความกรอบ ทำให้ขายดีมากยิ่งขึ้น โดยสารกลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายมากจนเกินไป ทำให้เกิดความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารได้ สารให้ความหวาน จำพวกแอสปาเทมซัคคาริน เป็นสารเคมีอีกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ที่ขายในรถเข็น ซึ่งสามารถบริโภคได้แต่ถ้าบริโภคบ่อยๆ ติดต่อกันนานๆ เป็นประจำก็จะนำไปสู่ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร มีการสะสมในร่างกายและนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้ด้วยเช่นกัน"อีกประเด็น หนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือผู้ประกอบการ ตรงนี้คงขึ้นอยู่กับสุขนิสัยส่วนบุคคลมองข้าม คือผู้ประกอบการ ตรงนี้คงขึ้นอยู่กับสุขนิสัยส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นมือที่ไปหยิบจับผลไม้ หรือจะเป็นสุขภาพของผู้ขาย รวมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ทั้งหมดล้วนทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคได้ทั้ง สิ้น ฉะนั้นผู้ประกอบการจึงต้องให้ความใส่ใจในการประกอบอาชีพด้วยเพราะถ้าควบคุม ตรงนี้ได้ ก็จะสามารถควบคุมความปลอดภัยของผู้บริโภคได้ด้วยเช่นกัน"
     เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางออกของผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลไม้จากรถเข็นมาทาน อ.สง่า กล่าวว่า ประการแรก คือ ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกทานผล ไม้สดมากกว่าผลไม้ดองหรือแช่อิ่ม เช่น ฝรั่ง มะละกอ ชมพู่ สับปะรด แตงโม แคนตาลูป เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องสารปนเปื้อนที่เป็นจำพวกสารเคมี รวมทั้งรอดพ้นจากสารกันบูดอย่างแน่นอน และที่สำคัญ การทานผลไม้สดจะทำให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งสารอาหารจากผลไม้ได้มากกว่าผลไม้ดอง โดยเฉพาะวิตามินซี ที่มีในผลไม้สดมากกว่าผลไม้ดองหลายเท่า"หากต้องการทานผลไม้ดอง จำเป็นต้องสังเกตในเรื่องของความสะอาด โดยดูว่าผู้ขายแต่งตัวเป็นอย่างไร มีผ้ากันเปื้อนหรือไม่ สุขภาพเป็นอย่างไร มือมีแผลหรือไม่ เมื่อหยิบจับผลไม้มีการสวมใส่ถุงมือหรือล้างมือหรือไม่ ใช้ผ้าเช็ดมือผืนเดียวเช็ดทุกอย่างหรือไม่ ในส่วนของรถเข็นสะอาดหรือไม่ ตลอดจนการจัดวางและความสดของผลไม้ด้วย โดยจะต้องสังเกตในหลายๆ ด้าน"ในส่วนของผลไม้ดองไม่แนะนำให้บริโภคเพราะจะได้คุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก เสี่ยงต่อการได้รับสารปนเปื้อนสูง และที่สำคัญการกินผลไม้ดองสิ่งหนึ่งที่จะเข้าไปในร่างกายด้วย คือ ความเค็ม โดยเฉพาะโซเดียมที่มีอยู่ในเผลไม้ดอง ฉะนั้นการกินผลไม้ดองพบบ่อยๆ ทำให้ร่างกายมีโอกาสได้ผลไม้ดอง ฉะนั้นการกินผลไม้ดองพบบ่อยๆ ทำให้ร่างกายมีโอกาสได้รับโซเดียมสูงไปด้วยโดยจะทำให้เกิดภาวะความดันโลหิต สูง และไตทำงานหนัก เพราะยิ่งไตทำงานหนัก ความดันโลหิตสูงก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้นอีกประการหนึ่งที่อยากเตือน คือ การกินผลไม้ ถ้ามีรสที่พอดีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ถึงกับเปรี้ยวมาก หรือแจ็ดจนเกินไป ไม่ควรจิ้มพริกเกลือ เพราะจะได้ความเค็มไปโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ ต่อมา คือ จะได้รับน้ำตาลไปโดยใช่เหตุ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะอ้วน การกินผลไม้สดโดยไม่ต้องจิ้มพริกเกลือเป็นการทานผลไม้ที่ถูกต้องและเกิด ประโยชน์กับร่างกายสูงสุด
     โดยผลไม้ที่ควรเลือกทาน แบ่งตามระดับความหวานได้ 3 ประเภท จำพวกแรก คือ หวานจัด ได้แก่ ทุเรียน ขนุนสุก มะม่วงสุก ลิ้นจี่ ลำไย สามารถกินได้เป็นครั้งคราว เพราะทำให้อ้วนได้ ถ้าร่างกายนำไปใช้ไม่หมด
      ต่อมาหวานปานกลาง ได้แก่ มะละกอ ส้ม สับปะรด เงาะ กลุ่มนี้ทานได้ แต่อย่าบ่อยมากนัก สุดท้าย หวานน้อย ได้แก่ ส้มโอ ฝรั่ง แอปเปิ้ล แก้วมังกร ชมพู่ ลูกแพร ลูกพีช กลุ่มนี้ทานได้เป็นประจำ ทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ยิ่งทานได้ทุกวันยิ่งดี เพราะดีต่อสุขภาพ  สามารถใช้ลดน้ำหนักได้ด้วยในกลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำหนักส่วนเกินควรทานสลับ กันพยายามอย่าทานผลไม้ซ้ำกันทุกวัน ควรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยกินให้หลากหลายชนิด เพื่อจะได้รับสารอาหารที่หลากหลายด้วยเช่นกัน โดยเลือกทานในกลุ่มผลไม้ที่หวานน้อยจะเป็นประโยชน์กับร่างกายมากที่สุด
     การทานผลไม้เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่อยากส่งเสริมอยากให้หันมากินผลไม้แทนอาหารว่างแทนขนมหวานเพื่อ สุขภาพที่ดี แต่ถ้าตัดสินใจจะซื้อผลไม้จากรถเข็นเมื่อไร ต้องคำนึงถึงในหลายๆ ด้านจะต้องสังเกตให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ จะต้องสังเกตให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งการหลีกเลี่ยงสารปนเปื้อนจากผลไม้โดยการซื้อผลไม้สดมาทำกินเองจะเป็น วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด.

บทความเชิงวิชาการเรื่อง 'พิษจาก "องุ่น" และ "ลูกเกด"

พิษจาก "องุ่น" และ "ลูกเกด"


องุ่นจัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา และจัดเป็นอันดับสองรองจากอุสาหกรรมการผลิตส้ม ภายหลังจากฤดูการเก็บเกี่ยว องุ่นไร้เมล็ดพันธุ์ต่างๆ จะถูกส่งเข้าโรงงานเพื่อผลิดเป็นลูกเกดชนิดไร้เมล็ด โดยผ่านวิธีการตากแดด ซึ่งจะได้ลูกเกดที่มีสีดำคล้ำ หรือทำการอบแห้งและถนอมอาหารด้วยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพื่อให้ได้ลูกเกดสี ทอง องุ่นและผลิตภัณท์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกเกดธรรมชาติและลูกเกดสีทองนั้น เป็นผลไม้และส่วนประกอบอาหารและขนมที่เป็นที่นิยมกันทั่วโลก ปัจจุบันพบว่ามีรายงานเกี่ยวกับการเป็นพิษของการกินองุ่น และลูกเกดในสุนัขหลายกรณี ถึง แม้ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานความเป็นพิษของลูกเกดในสุนัข อย่างไรก็ตาม จากรายงานจากวารสารทางสัตวแพทย์ที่บ่งถึงความเป็นพิษของลูกเกดนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความรุนแรงและมีผลข้างเคียงมาก ดังนั้นทางที่ดีเราควรรู้ถึงความรุนแรงและอันตรายจากการกินองุ่น และผลิตภัณท์ที่มาจากองุ่นว่าเพราะเหตุใด ผลไม้ชนิดนี้จึงต้องห้ามในสุนัข และหาวิธีทางป้องกันขนาดความเป็นพิษภายหลังจากที่สุนัขทานองุ่นหรือลูกเกด มีรายงานไว้ในนิตยสารทางการแพทย์ คือ การกินองุ่นหรือลูกเกดในขนาดมากกว่าหรือเท่ากับ 3 กรัม ต่อน้ำหนักตัวสุนัข 1 กิโลกรัม สามารถทำให้สุนัขแสดงความผิดปกติต่างๆได้ ความเป็นพิษที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ สุนัขจะแสดงอาการของภาวะไตวายเฉียบพลัน โดยสุนัขจะแสดงอาการอาเจียนภายใน 2-3 ชั่วโมง ตามมาด้วยอาการเบื่ออาหารซึมท้องเสีย และแสดงอาการปวดท้องอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นหากเจ้าของสังเกต จะพบว่าสุนัขมีการขับปัสสาวะลดลง หรือไม่มีปัสสาวะ และมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย
         


ภาวะไตวายเฉียบพลันในกรณีที่สุนัขกินองุ่นหรือลูกเกดเข้าไปนั้น ยังไม่สามารถบ่งบอกถึงสาเหตุได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามพบว่ามีหลายประเด็นที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติ ต่างๆ ได้ เช่น สารพิษจากเชื้อราชนิดที่มีผลต่อการเสื่อมและตายของเซลล์เยื่อบุท่อไต ที่พบในองุ่นหรือลูกเกด (ในต่างประเทศเคยมีการตรวจพบสารพิษชนิดนี้ในไวน์และน้ำองุ่น)ยา ฆ่าแมลงที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตองุ่นซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการตายของเซลล์ เยื่อบุท่อไต หรือแม้แต่ปัจจัยต่างๆ ภายหลังจากการกินเข้าไปที่ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงที่ไตน้อยลงและเกิดความผิด ปกติตามมา เมื่อนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจ ร่างกาย สัตวแพทย์จะตรวจวินิจฉัยด้วยการเจาะเลือดตรวจ และพบว่ามีค่าการทำงานของไตเพิ่มสูงขึ้นแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เช่น ฟอสฟอรัสแคลเซียม และ โปแตสเซียมในเลือดสูง ซึ่งมีผลมาจากสาเหตุต่างๆ กัน และยังส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายสืบเนื่องกัน หากเจ้าของพบว่าเจ้าสุนัขแสนซนของเราได้กินองุ่นหรือลูกเกดเข้าไป ควรรีบตรวจสอบปริมาณที่สุนัขกินเข้าไป และรีบนำสุนัขไปพบสัตวแพทย์ทันทีเพื่อทำการตรวจร่างกายและรักษาอย่างทันท่วง ที โดยภายหลังจากการกินองุ่นหรือลูกเกดแล้ว ต้องพยายามให้สัตว์อาเจียนกากอาหารออกมา โดยอาจใช้ยากระตุ้นการอาเจียน นอกจากนั้นอาจให้ผงถ่านแก่สุนัขเพื่อดูดซึมสารต่างๆ ที่คาดว่าอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความผิดปกติจากการกินองุ่น หรือลูกเกด (เนื่อง จากขบวนการผลิตลูกเกดนั้นต้องอาศัยการอบแห้ง ดังนั้นเมื่อทำการให้ยากระตุ้นการอาเจียนหรือการให้ผงถ่านทางการกินนั้น อาจทำให้ลูกเกดอมสารละลายของยาและพองตัวมากขึ้นได้) จากนั้นสัตวแพทย์จะทำการรักษาโดยการให้สารน้ำและยาต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่ไตและลดภาวะไตวายแบบเฉียบพลัน
อย่างไรก็ตามหากเจ้าของสุนัขไม่ทราบประวัติว่าสุนัขได้กิน องุ่นเข้าไปหรือไม่ อาการต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้ ควรที่จะนำมาวินิฉัยแยกแยะจากโรคหรือความผิดปกติอื่นๆ ที่สามารถแสดงอาการแบบเดียวกันได้ เช่น การทานสาร Ethylene glycol หรือการติดต่อโรคเลปโตสไปโรซิส เป็นต้น